กรมหลวงชุมพรเรียนวิชา”ระเบิดน้ำ”จากหลวงปู่ศุข

กรมหลวงชุมพรเรียนวิชา”ระเบิดน้ำ”จากหลวงปู่ศุข
สุดยอดอีกหนึ่งตำนานเล่าขานจากบันทึกของนายแพทย์สำนวน ปาลวัฒน์วิไชย ที่ออกสอบถามชาวบ้านคนเก่าแก่ที่มีชีวิตอยู่ เพื่อเขียนถึงการเรียนวิชาขมังเวทของเสด็จในกรมกับหลวงปู่ศุข ได้บันทึกไว้เป็นใจความดังนี้

อันการเรียน “ระเบิดน้ำ” ของกรมหลวงชุมพรฯ นี้ นายแฉล้ม เอี่ยมรอด คนเก่าแก่ได้เล่าว่า (เล่าเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2521 และได้สอบถามเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2521) ได้มีการเรียนระเบิดน้ำกันในเดือน 4 หลังจาก นายแฉล้ม บวชได้ประมาณ 4 พรรษา ตกประมาณเดือนมีนาคม 2464

คราครั้งนั้น กรมหลวงชุมพรฯ ได้ฝึกเรียนระเบิดน้ำกับหลวงปู่ศุขที่โบสถ์น้ำหน้าวัด โดยเสด็จในกรมนั่งบริกรรมอยู่บนโบสถ์น้ำพักหนึ่ง ก็กระโดดไปในน้ำตูมใหญ่ แต่กรมหลวงชุมพรฯ สามารถทนอยู่ใต้น้ำได้เพียง 4 อึดใจใหญ่เท่านั้น แล้วพระองค์ก็ทรงโลดขึ้นมาบนผิวน้ำ จนผิวน้ำแตกกระจาย จากนั้นพระองค์ทรงกล่าวกับหลวงปู่ว่า “ทนไม่ไหว”
ผลการทดสอบเรียนระเบิดน้ำในวันแรกไม่อาจเป็นผลสำเร็จได้ ในวันรุ่งขึ้นกรมหลวงชุมพรฯ ได้ขอทดสอบผลการเรียนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พระองค์มีความตั้งใจสูงแบบยอมตายถวายชีวิตกับวิชาพิเศษนี้ทีเดียว

ฝ่ายหลวงปู่ศุขก็เอาจริงเช่นกัน แต่ท่านก็มีความเสี่ยงเพราะศิษย์ท่านนี้มิใช่สามัญชน หากเป็นถึงโอรสของพระมหากษัตริย์ ทว่าศิษย์กับอาจารย์ต่างก็ “ใจถึง” ด้วยกัน โดยหลวงปู่นั้นถึงกับเตรียมไม้ถ่อค้ำเรือไว้อันหนึ่ง ไม้ถ่อนี้ท่านยืมมาจากเรือบรรทุกข้าวที่จอดอยู่หน้าวัด หลวงปู่บอกว่า “ถ้าโผล่ขึ้นมาอีกจะเอาไม้ถ่อค้ำคอ” ปรากฏว่าในการทดสอบครั้งที่ 2 เสด็จในกรมสามารถผ่านการทดสอบได้สำเร็จ คือทนอยู่ในน้ำได้ถึง 3 ชม. แล้วจึงขึ้นบก

ในบันทึกยังเล่าว่าหลวงปู่ศุขปลื้มใจมากที่ศิษย์เอกเรียนวิชานี้ได้สำเร็จ ท่านได้คุยให้ชาวบ้านและมัคนายกฟังว่า การที่กรมหลวงชุมพรเรียนครั้งนี้สำเร็จ เพราะได้ฝึกจิตได้สูงแล้วนั่นเอง

การเรียน “ระเบิดน้ำ” นี้ทำในตอนกลางวัน หลังจากที่หลวงปู่ฉันเพลแล้ว โดยมีชาวบ้าน มัคนายก และพระเณรที่วัดร่วมดูอยู่ประมาณ 20-30 คน รวมทั้งพระภิกษุแฉล้ม (นายแฉล้ม เอี่ยมรอด) ผู้เล่าด้วย

ในบันทึกของนายแพทย์สำนวน ปาลวัฒน์วิไชย ยังกล่าวอีกว่าได้มีโอกาสคุยกับนายเชื้อ แตงฉ่ำ บ้านหมู่ที่ 5 ต.หาดท่าเสา อ.เมือง จ.ชัยนาท อายุ 84 ปี ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่าตนเคยเห็นกรมหลวงชุมพรฯ เรียนระเบิดน้ำกับหลวงปู่ศุขด้วยตาตนเอง ดังนี้
ครานั้น ตัวผู้เล่ารู้ว่ากรมหลวงชุมพรฯ เสด็จมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะผู้ใหญ่บ้านบอกเมื่อตนไปที่วัดก็เห็นกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งสักตามตัวจนดูดำไปหมด ได้ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินตามหลวงปู่ไปที่แพโบสถ์น้ำ
เมื่อพิธีเริ่มขึ้นกรมหลวงชุมพรฯ ลงไปที่แพโบสถ์น้ำต่อหน้าหลวงปู่ศุข ผู้เป็นอาจารย์ซึ่งนั่งบริกรรมอยู่ ครั้นแล้วพระองค์ท่านได้กระโดดลงไปในน้ำ ดำผุดดำโผล่อยู่หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายหลวงปู่จับพระเศียรกรมหลวงชุมพรฯ กดลงไปในน้ำ คราวนี้เสด็จในกรมจมหายลงไปในน้ำนานมากเป็นชั่วโมง ๆ จนนายเชื้อเองคิดว่าเสด็จในกรมต้องสิ้นพระชนม์แน่คราวนี้

ทว่า ท่าทีสีหน้าของหลวงปู่มีแต่ความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างสูง ไม่ได้มีความวิตกกังวลแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปจนพิธีเสร็จ กรมหลวงชุมพรฯ โผล่ขึ้นมาแล้วปีนขึ้นแพโบสถ์น้ำ ทำให้นายเชื้อ หายใจโล่งอก
หลวงปู่ศุขได้เดินขึ้นฝั่งไปที่กุฏิ มีเสด็จใจกรมเดินตามและพากันขึ้นไปบนกุฏิ
ยังมีเรื่องการเรียนระเบิดน้ำของกรมหลวงชุมพรฯ อีกเรื่องหนึ่ง จะเป็นการเรียนระเบิดน้ำขั้นต้นหรืออย่างไรก็สุดจะสันนิษฐานได้ เพราะเป็นเรื่องของการ “แอบดู” และได้เห็นมา ดังนี้
นางหีบ สุขทอง เป็นผู้เล่าเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2523 มีใจความว่า คราวนั้น นางหีบได้คลอดบุตรและกำลังอยู่ไฟในตอนกลางวันสามีของตนชื่อนายยอด ได้ทราบจากผู้ใหญ่อุ่น ศุภรัตน์ ว่าตอนกลางคืนกรมหลวงชุมพรฯ จะเรียนระเบิดน้ำ จึงได้ชวนกันไปแอบดู

หลวงปู่ศุขและกรมหลวงชุมพรฯ ฝึกเรียนกันในตอนเที่ยงคืนวันเพ็ญเดือน 12 มีทหารควบคุมทางเข้าทุกทางไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปดู หลวงปู่เดินนำกรมหลวงชุมพรฯ ลงไปในน้ำตรงต้นมะเดื่อหน้าวัดทางทิศใต้ กรมหลวงชุมพรฯ ถือเทียน 7 เล่ม พนมมือ หลวงปู่ศุขเอาบาตรครอบพระเศียรกรมหลวงชุมพรฯ แล้วกดลงไปในน้ำ
เสด็จในกรมทะลึ่งพ้นน้ำขึ้นมาถึง 2 ครั้ง จนหลวงปู่ศุขต้องกล่าวว่า “จะไม่เอาหรือไง ตัดสินใจให้ดี” คราวนี้หลวงปู่กดบาตรที่ครอบพระเศียรลงไปนานมาก เสด็จในกรมจึงโผล่ขึ้นเหนือน้ำและเทียนดับหมด
เรื่องนี้จะเป็นการเรียนวิชาอะไรไม่ทราบแน่นอน เพราะนายยอดเป็นผู้เล่าให้นางหีบฟัง

อันวิชา “ระเบิดน้ำ” นี้ก็เป็นวิชาเดียวกับที่ไกรทองใช้ลงไปปราบชาละวัน จระเข้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ ในตำนานท้องถิ่นไทยนั่นเอง คือการจุดเทียนส่องลงไปใต้น้ำโดยเทียนไม่ดับ ว่ากันว่าน้ำจะระเบิดเป็นช่องลงไปในบาดาล ผู้สำเร็จวิชานี้เดินไปในน้ำหายใจดุจบนบก ไม่มีอันตรายใดๆ เป็นที่คาดกันว่าการที่กรมหลวงชุมพรฯ ต้องการเรียนวิชานี้เพื่อคิดช่วยชาติบ้านเมืองในยามคับขัน โดยใช้ยุทธวิธีลงไปในน้ำระเบิดเรือรบข้าศึก

ที่มา:บางส่วนของบทความเรื่อง กฤติยาคม กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

ข่าวหลวงปู่แขก วัดสุนทรประดิษฐ์ รุ่น “อายุยืน”

เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ได้รับข้อมูลจากคุณสุเมธ ธนะชัย ว่าได้รับภาพข่าวจากคณะกรรมการจัดสร้างวัตถุมงคลของหลวงปู่แขก ปภาโส วัดสุนทรประดิษฐ์เกี่ยวกับพิธีพุทธาภิเษก และการมอบรายได้ปัจจัยให้กับโรงพยาบาลบางระกำ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก

กราบอนุโมทนาบุญครับ

รุ่น อภินิหาร หลวงปู่แขก ปภาโส

เหรียญครู รุ่นอภินิหาร หลวงปู่แขก ปภาโส วัดสุนทรประดิษฐ์ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก

ขอบคุณ อ.สุเมธ ธนะชัย
ศูนย์พระเครื่องหลวงปู่แขก หลวงปู่รอด พิษณุโลก

ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่แขกอีกครั้งหนึ่ง

วันนี้หลังจากที่ได้เดินสำรวจข้อมูลระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนจนเกือบครบแล้ว ตอนเช้ายังไม่มีชั่วโมงสอน เลยทำเรื่องขอออกนอกโรงเรียนไปทำธุระส่วนตัว จากนั้นก็แวะไปกราบหลวงปู่แขกที่วัดสุนทรประดิษฐ์ อ.บางระกำ

ไปนั่งรอสักพัก อ.สุเมธก็มาถึง จากนั้น นั่งรอหลวงปู่ออกจากกุฏิ
วันนั้นมีเจ้าหน้าที่ของที่ดินจังหวัดมาถวายสังฆทานด้วย เลยรอให้เค้าทำธุระกันก่อน

เมื่อถึงคิวผม ผมก็กราบขอเมตตาหลวงปู่ จารพระพุทธชินราชยอดธง รุ่น เสาร์ห้า (ปี 2553) หลวงปู่ก็เมตตาจารให้ 2 ตัว (ตัวอุ และนะมหาอำนาจ)และเป่าอัดพลังพวงยาวๆอีกครั้ง

แล้วก็มีลุงอีกคนหนึ่ง นำหลวงพ่อเงินที่แกะจากงามาให้หลวงปู่จารและเป่าให้

จากนั้นมีพี่สาวท่านหนึ่งขอเมตตาหลวงปู่ลงแป้งให้ หลวงปู่ก็ลงให้

หลวงปู่เมตตาสูงสุดยอดจริงๆครับ

ภาพการปลุกเสกวัตถุมงคล รุ่น เสาร์ห้า หลวงปู่แขก วัดสุนทรประดิษฐ์

วันนี้ได้รับ vdo การปลุกเสกวัตถุมงคล รุ่น เสาร์ห้า หลวงปู่แขก ปภาโส หรือ ท่านเจ้าคุณพระมงคลสุธี วัดสุนทรประดิษฐ์ ในวันที่ 20 มีนาคม 2553 หรือวันเสาร์ 5

สุดยอดแห่งการปลุกเสกครั้งนี้ เป็นวาระแรกใน 5 วาระ ตามที่ได้กำหนดไว้

ผู้ใดมีวัตถุมงคลรุ่นนี้ครอบครอง คงสุขใจมั่นใจมากเลยสินะครับ ส่วนผม สุดยอดจริงๆ

เหรียญนเรศวรพาหุง หลวงพ่อสายบัว กตปุญโญ วัดภูเขาทอง

เหรียญนเรศวรพาหุง หลวงพ่อสายบัว กตปุญโญ วัดภูเขาทอง

……..
พระครูบรรพตสุวรรณวัฒน์ หรือ หลวงพ่อสายบัว กตปุญโญ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังเจ้าอาวาสวัดภูเขาทอง ต.ภูเขาทอง จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ขอพระบารมีแห่งพระองค์ดำ และพระองค์ขาว อีกทั้งเทพและพรหมที่รักษาพระเจดีย์ภูเขาทอง รวมทั้งเวทวิทยาที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากพระเกจิอาจารย์ดังในอดีต จัดสร้างสิ่งสักการะมงคล “เหรียญนเรศวรพาหุง

วัดภูเขาทองตั้งอยู่ ณ ทุ่งภูเขาทอง ตามประวัติวัดปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่ามีว่า สมเด็จพระราเมศวรได้โปรดให้ สร้างขึ้นในปีพ.ศ.1930 ต่อมาในปีพ.ศ.2112 พระเจ้าบุเรงนอง ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาได้ โปรดให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้น เป็นแบบเจดีย์มอญ ไว้เป็นที่ระลึกแห่งชัยชนะที่วัดนี้

……..ต่อมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดให้ซ่อมแซมวัด และซ่อมแซมพระเจดีย์ใหญ่ที่ชำรุด โดยเปลี่ยนเป็นพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบไทย จึงเห็นได้ว่าวัดภูเขาทองมีประวัติความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกับชาติไทยมาอย่างยาวนาน และที่ด้านหน้าของวัดได้มีการประดิษฐานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งมีความศักสิทธิ์และเป็นที่สักการะของปวงชนชาวไทยมาจนถึงทุกวันนี้

……..สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือพระองค์ดำ ทรงเป็นกษัตริย์นักรบ ตลอดพระชนมชีพของพระองค์มีแต่ทำสงครามกับอริราช ศัตรู ทรงนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง ทรงประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแครง ทรงกระทำยุทธหัตถี ชนช้าง มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราช และเพราะชัยชนะของพระองค์ท่านในครั้งนั้นที่ยังไทยให้มั่นคง เป็นชาติ เป็นเอก ราชปราศจากการเป็นเมืองขึ้นของชาติใด


……..
เหรียญนเรศวรพาหุง” เป็นเหรียญทรงเสมาขนาดเขื่อง ด้านหน้าเป็นพระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหา ราช ประทับเหนือพระที่นั่งพุท ไธสวรรค์ ทรงพระแสงดาบบนพระเพลา ทรงหลั่งน้ำทักษิโณ ทกประกาศเอกราช ไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร ด้านหลังเป็นพระยันต์พาหุงมหากาฯ บทใหญ่ 8 แม่บท และพระยันต์นารายณ์ปราบไตรจักร ประกอบด้วยพระยันต์มหาปราบแม่บทใหญ่ ถึง 14 พระยันต์

……..เหตุที่เหรียญนี้ชื่อเหรียญพาหุง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษอันประเสริฐ มีชัยชนะเหนือพญามารและเสนามารทั้งปวง และชนะเหนือศัตรูสำคัญที่มาผจญถึง 8 ครั้งด้วยกัน โบราณาจารย์จึงสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า เป็นบทสวดพาหุงมหากาฯ ดุจเดียวกับองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทรงมีชัยชนะเหนืออริราชศัตรู ปกป้องแผ่นดินไทยมาได้

……..อีกทั้ง “หลวงพ่อสายบัว” อัญเชิญพระคาถาพาหุงบทใหญ่ เสกประจุพุทธคุณอย่างเต็มที่ ซึ่งเชื่อกันว่าบทสวดพาหุงบทใหญ่นี้ มีพุทธคุณบันดาลชัยชนะเหนือศัตรู และอุปสรรคทั้งปวง ป้องกันและระงับภัย ส่งเสริมดวงชะตาของผู้สวดเป็นประจำ และจะมีเทพและพรหมมาคอยพิทักษ์รักษาอยู่เป็นนิจ จึงเป็นที่มาของเหรียญพาหุง ซึ่งเป็นเหรียญแห่งชัยชนะทั้งปวง

……..เหรียญนเรศวรพาหุงนี้มีประสบการณ์มากมาย เป็นที่เสาะแสวงหาของนักนิยมพระทั้งหลาย จนอาจกลายเป็นเหรียญหลักแห่งเมืองกรุงเก่าอีกเหรียญเลยทีเดียว

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด
เ้หรียญนี้ได้บูชามาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2552 (350บ.)

หลวงปู่รอด ฐิตฺวิริโย วัดสันติกาวาส

พระครูสถิตวีรธรรม

lprod

……………ผู้สืบทอดพุทธาคม จากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ในบรรดาพระเกจิอาจารย์ผู้เป็นศิษย์สืบสายพุทธาคมจาก หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น เทพเจ้าแห่งปากน้ำโพ ที่ยังดำรงชีพอยู่และมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วนั่นก็คือ พระครูสถิตวีรธรรม หรือ หลวงปู่รอด และที่เรียกขานกันด้วยความเคารพว่า หลวงพ่อเสือ ปัจจุบันอายุ 83 ปี พรรษา 63 ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม และเจ้าอาวาสวัดสันติกาวาส ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก หลวงปู่รอด ชื่อเดิมว่า บุญรอด แจ่มจุ้ย เป็นบุตรของ นาย เพชร และ นางบุญมา นามสกุล แจ่มจุ้ย ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พงศ. 2464 ณ. บ้านโคน ต.พญาปั่นแดน อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ หลวงปู่รอดได้ใช้ชีวิตเติบโตและร่ำเรียนวิชาความรู้ที่ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ครั้นอายุได้ 14 ปี ได้ย้ายบ้านปอยู่ที่ บ้านป่ามะม่วง อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย รวม ระยะเวลา 3 ปี จากนั้นจึงย้อนกลับไปอยู่ที่บ้านโคนซึ่งเป็นถิ่นกำเนิด? ?? ?? ?กระทั่งอายุ 21 ปี จึงได้หันเหชีวิตเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยการอุปสมบท เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2485 ที่วัดเชิงหวาย ต.ตลุกเทียม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก โดยมี พระครูญาณปรีชา วัดดอกไม้ ต.ท่ามะเฟือง อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิกาหาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ เจ้าอธิการพวง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้ฉายาว่า ฐิตฺวิริโย พักจำพรรษาอยู่ที่วัดเชิงหวายเป็นเวลา 2 พรรษา จำนั้นจึงย้ายมาอยู่ที่วัดสันติกาวาส ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก

……………ความรู้ทางธรรม ปี พงศ. 2489 สามารถสอบไล่ได้นักธรรมโท สำนักวัดสันติกาวาส ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณูโลก ซึ่งท่านมีความชำนาญทางด้านเทศนาธรรม การบรรยายธรรม การปาฐกถาธรรม วิปัสสากรรมฐาน และ การก่อสร้าง(นวกรรม) มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการเขียนและอ่านอักขระขอม หน้าที่การงานที่ได้รับพ.ศ. 2489 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวันสันติกาวาส พ.ศ. 2491 เป็นพระกรรรมวาจาจารย์ พ.ศ. 2493 เป็นเจ้าคณะตำบลวงฆ้อง พ.ศ. 2494 เป็นกรรมการสงฆ์ฝ่ายสาธารณูปาการ อำเภอพรหมพิรามพ.ศ. 2489-2499 เป็ฯผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม??พ.ศ. 2509 เป็นพระอุปัชฌาย์??พ.ศ. 2510 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม??พ.ศ. 2520 เป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม??พ.ศ. 2544 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอต่อไปอีก 3 ปี เรื่องราวชีวิต พระดีศรีพรหมพิราม พระครูสถิตวีรธรรม หรือหลวงปู่รอด ฐิตฺวิริโย เจ้าอาวาสวัดสันติกาวาส ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ท่านมีชีวิตที่น่าศึกษามิใช่น้อย? ?? ?? ?เมื่อครั้งยังเป็นฆราวาสท่านได้ชื่อว่าเป็น ลูกผู้ชายตัวจริง คนหนึ่งทีเดียว ท่านไม่ใช่นักเลง เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ แต่ก็อยู่ท่ามกลางหมู่นักเลงหลายก๊กหลายเหล่า เลยทำให้ชีวิตกล้าแกร่ง ค่อนข้างใจร้อน ใครพูดแสลงหูก็มีอารมณ์เหมือนกัน ถึงขนาดเคยมีเรื่องฟันแทงเกือบติดคุกทีเดียว แม้กระทั่งตอนจะบวชก็ยังมีมารมาผจญ แต่ด้วยจิตใจที่หนักแน่น และไม่ยอมใครถ้าหากไม่มีเหตุผล ท่านจึงผ่านพ้นวิกฤติชีวิตที่น่าหวาดเสียวมาได้เสมอ? ?? ?? ? อำเภอพรหมพิรามสมัยก่อน เป็นศูนย์รวมของบรรดาโจรผู้ร้าย มีทั้งเสือที่เป็นสัตว์และไอ้เสือที่เป็นคนเยอะแยะไปหมด เสือหลวย เป็นเสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด นอกจากนี้ก็มี เสือเสงี่ยม,เสือดำ,เสือม้วน ซึ่งส่วนใหญ๋จะเป็น เสือต่างถิ่น เสียมากกว่า หลงปู่รอดเล่าให้ฟังว่า มีเสืออยู่คนหนึ่งเมื่อมันชอบลูกสาวบ้านใด มันก็จะถือเหล้าขวดเดียวเข้าไปสู่ขอเอาดื้อ ๆ เวลาขึ้นบ้านไหนมันก็จะพูดว่า พ่อแม่มารับไหว้เดี๋ยวนี้ กินเหล้าแล้วผมขอลูกสาวไปเลยนะ โยมพ่อของหลวงปู่รอดเป็นคนที่มีวิชา แต่ท่านไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร จนกระทั่งบวช เมื่อได้พบเจอเหตุการณ์ไอ้เสือปล้นต่าง ๆ ก็เลนขอรับการถ่ายทอดวิชาจากโยมพ่อเพื่อไว้ป้องกันตัว และช่วยเหลือคนอื่น??ลูกสาวชาวบ้านที่ถูกฉุดไป หลวงปู่รอดได้เมตตาตามไปช่วยกลับคืนมาได้เกือบหมด โดยไม่กลัวพวกเสือแต่อย่างใด เพราะสมัยนั้นพวกเสือต่าง ๆ ต้องมาพึ่งบารมีพ่อ ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณประจำตำบล ตกคืนนั้นพวกเสือมันมาตามคืน ท่านกำลังท่องหนังสืออยู่ได้ยินเสียงลั่นไกปืน 2-3 ครั้ง พอรู้ว่าถูกลอบยิงก็รีบวิ่งเข้ากุฏิไปคว้าขวานออกมา พร้อมตะโกนท้าพวกมันให้ออกมาฟันกันซึ่ง ๆ หน้า แต่มันก็ไม่กล้าและล่าถอยไป ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ท่านยังมานั่งคิดว่า เป็นเรื่องแปลกดีที่ยิงไม่ออก

……………ช่วงหนึ่งหลวงปู่รอดเคยคิดจะย้ายไปจำพรรษาที่อื่น เพราะพวกนักเลงเยอะ มีทั้งลักขโมย ปล้นสะดม และฆ่ากัน พระหลายรูปทนไม่ได้ต้องสึกออกไปเพราะความกลัว ตัวท่านเองตั้งใจจะเข้าไปเรียนบาลีที่กรุงเทพ ฯ แต่ญาติโยมไม่ยอมให้ไป ถึงขนาดนิมนต์เจ้าคณะตำบลละเจ้าคณะอำเภอมาช่วยอ้อนวอนไว้ จึงตัดสินใจอยู่ต่อมาจนถึงทุกวันนี้? ?? ?? ? เดิมทีหลวงปู่รอดท่านตั้งใจจะบวชเพียง 3 พรรษา แต่ด้วยจิตยึดมั่นในทางธรรมก็ล่วงเลยไปถึงพรรษาที่ 9 และคิดจะลาสิขา แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะจิตใจอุทิศให้พระศาสนา อย่างเต็มเปี่ยม จนปัจจุบันย่างข้า 63 พรรษาแล้ว ตลอด 62 พรรษาที่ผ่านมา แทบจะกล่าวได้ว่าท่านไม่เคยหยุดนิ่ง เริ่มการสร้างวัดสันติกาวาสจากสภาพวัดร้างให้พลิกฟื้นคืนความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ซึ่งต้องใช้ความสามารถในการเรียกความศรัทธาชาวบ้านอย่างสูง แต่ด้วยความเป็นคนจริงบวกกับการประพฤติปฏิบัติตนที่ทำให้ผู้คนเกิดความเคารพเลื่อมใส เพียงไม่นานก็ทำให้วัดสันติกาวาส สมบูรณ์ทั้งด้านเสนาสนะ และศาสนวัตถุต่าง ๆ นอกจากนี้ หลวงปู่รอดยังได้ใช้วิชาความรู้มาช่วยสงเคราะห์ผู้ที่ประสบทุกข์ร้อนทั้งร่างกาย และ จิตใจ อาทิ การเป่าหัว-เสกยารักษาโรค การดูดวง ซึ่งวิชาเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วท่านจะเรียนรู้ด้วยตนเองจากตำรับตำราเก่า ๆ ในช่วงที่ท่านได้อยู่รับใช้หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพนั้น ก็ได้รัยการถ่ายทอด คาถารอบโลก ซึ่งเป็นคาถาที่หลวงพ่อเดิมท่านใช้ประจำตัว ไม่ว่าจะการพรมน้ำมนต์ หรือการปลุกเสกวัตถุมงคล โดยหลวงปู่รอดได้นำมาใช้เป็นคาถาประจำตัวเช่นกัน ซึ่งพระคาถานี้มีด้วยกัน 7 บท อาทิ คาถาหายตัว,คาถามหานิยม,คาถาคงกระพันชาตรี ฯลฯ? ???นอกจากเป็นเพราะท่านมีวิชาอาคมขลังแล้ว ยังมาจากชื่ออันเป็นมงคลนามว่า รอด ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้รอดพ้นจากเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ จากร้ายกลายเป็นดี แต่ท่านก็มักเตือนสติลูกศิษย์ลูกหาอยู่เสมอว่า ใครที่มีวัตถุมงคลของท่านแล้วจะให้รอดเหมือนชื่อนั้นจะให้รอดทุกคนเป็นไปไม่ได้ เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งคู่กับมนุษย์ทุกคนไม่มีทางหนีความตายไปได้ จะตายช้าตายเร็ว ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน

……………ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หลวงปู่รอดอนุญาตให้จัดสร้างวัตถุมงคลหลายรุ่นหลายแบบด้วยกัน อาทิ จัดสร้างขึ้นในโอกาสจัดงานฉลองอายุครบ 7 รอบ 84 ปี เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548

……………แม้ว่าอายุท่านจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่กิจนิมนต์ของท่านแทบจะไม่มีวันเว้นว่าง

……………ต่อมา หลวงปู่รอด เข้าโรงพยาบาลพรหมพิราม เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เนื่องจากมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ส่วนหนึ่งมาจากกิจนิมนต์ที่หลวงปู่ไม่เคยปฏิเสธ

……………ทุกวันท่านจะต้องเดินทางไกล เพื่อไปร่วมในพิธีซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการอธิษฐานจิต ปลุกเสกวัตถุมงคล ด้วยท่านเป็นพระเกจิที่ได้รับความศรัทธา แต่ด้วยอายุที่มาก การพักผ่อนน้อย ทำให้ล้มป่วยอาพาธลง

……………แม้คณะศิษย์จะขอร้องให้ท่านงดรับกิจนิมนต์ แต่ท่านก็บอกว่า “เขามาเพราะเขาเชื่อมั่นศรัทธาจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร”

หลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพรหมพิรามได้ 3 วัน อาการหลวงปู่รอดทรุดหนักลง จึงส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลพุทธชินราช โดยคณะแพทย์ได้พยายามรักษาอาการอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

……………ในที่สุด หลวงปู่รอด ได้ละสังขารลงอย่างสงบ เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 สิริอายุ 87 พรรษา 67

สร้างความอาลัยให้กับคณะศิษย์และชาวเมืองสองแควเป็นอย่างยิ่ง

ข้อมูลจาก คุณสุเมธ ธนะชัย

1 2