กองทุนรวมกสิกรไทย ประกาศจ่ายปันผล

เป็นข่าวที่สร้างรอยยิ้มสำหรับผู้ลงทุนด้วยกองทุนรวมของ บลจ.กสิกรไทย ที่ทางกสิกรได้ประกาศจ่ายเงินปันผลรวมกว่า 330 ล้าน

6 กองทุนผลงานเข้าเป้า บลจ. กสิกรไทย หอบเงินกว่า 330 ล้าน จ่ายปันผลครั้งใหญ่ส่งท้ายปี 56 ได้ฤกษ์คืนกำไรให้ผู้ลงทุน 6-13 ธันวาคม นี้

นายประเสริฐ ขนบธรรมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ. กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวม 6 กองทุนระหว่างวันที่ 6-13 ธันวาคม 2556 มูลค่าการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้น 330.82 ล้านบาท ประกอบด้วย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) ซึ่งจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2556 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.1820 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 95.59 ล้านบาท มีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 6 ธันวาคม 2556 ด้านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPNPF) จะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2556 ในอัตรา 0.1625 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 29.25 ล้านบาท และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ (MJLF) จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในช่วงเดียวกัน ในอัตรา 0.2300 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 75.90 ล้านบาท โดยทั้ง 2 กองทุนมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 11 ธันวาคม 2556

นายประเสริฐกล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ข้างต้นแล้ว บลจ. กสิกรไทยยังเตรียมจ่ายปันผลสำหรับกองทุนในกลุ่ม ETF คือ กองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) ซึ่งจะจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2555 – 30 พฤศจิกายน 2556 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 8 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 39.24 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 13 ธันวาคม 2556 และเตรียมจ่ายปันผลสำหรับกองทุนในกลุ่มกองทุนรวมต่างประเทศอีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 – 30 พฤศจิกายน 2556 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย พร้อมด้วยกองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2556 – 30 พฤศจิกายน 2556 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลของทั้ง 2 กองทุนรวมเป็นเงิน 90.84 ล้านบาท โดยทั้ง 2 กองทุนมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 13 ธันวาคม 2556 เช่นเดียวกัน

สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) ปัจจุบันมีการลงทุนในอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานรวมแล้ว 9 โครงการ ซึ่งทุกโครงการยังคงมีผู้เช่าเต็มพื้นที่ ทั้งนี้นับตั้งแต่จัดตั้งโครงการในปี 2553 เป็นต้นมา กองทุนมีรายได้อย่างสม่ำเสมอจากค่าเช่าอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงาน และมีการประกาศจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 11 ครั้ง อัตราการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้น 2.0692 บาทต่อหน่วย โดยมีอัตราการจ่ายปันผลในรอบปีบัญชีที่ผ่านมาประมาณ 7.20 % ต่อปี มูลค่าเงินปันผลรวมแล้วทั้งสิ้นประมาณ 651 ล้านบาท ด้านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPNPF) ลงทุนในกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ (Freehold) ในที่ดินและอาคารเคพีเอ็นทาวเวอร์ บน ถ.พระราม 9 โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 กองทุนจ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 2 ครั้ง คิดเป็นอัตรารวม 0.2805 บาทต่อหน่วย ส่วนกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ (MJLF) ลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารไลฟ์สไตล์ เอนเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ 2 โครงการคือ โครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธินและเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2550 กองทุนจ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 25 ครั้ง คิดเป็นอัตรารวม 5.868 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าว มีผลการดำเนินงานถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ

สำหรับกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) นั้น นายประเสริฐกล่าวว่า เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายใต้โครงการกองทุนพันธบัตรเอเชียระยะที่ 2 ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของธนาคารกลางชาติต่างๆ ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจำนวน 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักลงทุนตลอดทั้งผู้ออกตราสารในตลาดตราสารหนี้ของประเทศสมาชิก และนับเป็นกองทุน ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ ทั้งนี้นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 กองทุนจ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 16 ครั้ง ในอัตรารวมทั้งสิ้น 315.36 บาทต่อหน่วย

ด้านกองทุนรวมต่างประเทศ นายประเสริฐกล่าวว่า ยังถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการกระจายสินทรัพย์ลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุน K-GA ซึ่งมีจุดเด่นที่พอร์ตการลงทุนแบบผสม กระจายการลงทุนไปในหุ้นและตราสารหนี้ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกกว่า 700 หลักทรัพย์ในหลากหลายประเภทและหมวดธุรกิจ พร้อมการปรับสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสมในแต่ละสภาวะตลาด ซึ่งถือเป็นตัวช่วยในการจัดสรรเงินลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจพร้อมทั้งลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ได้เป็นอย่างดี โดยตั้งแต่ต้นปี กองทุนยังมีผลการดำเนินงานเป็นบวกได้กว่า 14.5% ขณะที่ความผันผวนโดยรวมต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น ทั้งนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีความผันผวนเฉลี่ย 6% ขณะที่หุ้นไทยผันผวนประมาณ 18% และหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนประมาณ 8% โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2554 กองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 5 ครั้ง ในอัตรารวม 3.20 บาทต่อหน่วย

“ด้านกองทุน K-CHINA จะเน้นลงทุนในตราสารทุนโดยผ่านกองทุน Fidelity Funds – China Focus Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของประเทศจีนและฮ่องกงโดยเฉพาะ โดยตั้งแต่ต้นปี กองทุนมีผลการดำเนินงานเป็นบวกกว่า 14.8% เอาชนะทั้งตลาดหุ้นจีน A-share ที่ระดับ -3.3% และ H-share ที่ระดับ 0.04% ในขณะที่ตลาดหุ้น Hang Seng ปรับตัวเป็นบวกเพียง 5.4% ประกอบกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจจีนก็ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ตัวเลข GDP ของจีนเติบโต 7.8% ซึ่งเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบปีและสูงกว่าที่ทางการจีนตั้งเป้าไว้ ขณะที่ตัวเลขดัชนีภาคอุตสาหกรรม (HSBC PMI) ก็ยังคงยืนเหนือระดับ 50 จุด แสดงถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อบริษัทจดทะเบียนในจีน รวมถึงตลาดหุ้น โดยระดับราคาหุ้นยังคงมีระดับราคาต่ำเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต โดยตลาด A-share มีอัตราส่วน Forward P/E 8.9 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยะยะยาว 10 ปี อยู่ที่ 19.7 เท่า ในขณะที่ H-share มีค่า Forward P/E ที่ 7.7 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี อยู่ที่ 13.6 เท่า”

ที่มา : www.bangkokbiznews.com

สำหรับกองทุนรวม ก็เป็นเครื่องมืออีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เงินของคุณกลายเป็นเงินงอกเงยนะครับ

Comments

comments